เรื่องเล่า ม.มหาสารคาม (ที่ใครบางคนอาจยังไม่รู้)
อาจยาวไปนิดนะค่ะ
ดอกคูณผลิช่อ ลูกมอแม่น้ำชี
- โรงเรียน
สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เป็นโรงเรียนสาธิตที่เดียวในประเทศไทยที่ไม่ขึ้นกับคณะศึกษาศาสตร์
แต่ขึ้นตรงกับสำนักงานอธิการบดี (อาจจะยกเว้นสาธิตมอดินแดงของมข)
- มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่ ตำบลขามเรียง
อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ ที่ตั้งเดิม
ซึ่งตั้งอยู่ที่ 269 ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
บนพื้นที่ 197 ไร่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มีกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 27
มีนาคม พ.ศ. 2511
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขยายการศึกษาชั้นสูงไปสู่ภูมิภาค
ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม
เมื่อปีพุทธศักราช 2517 และได้แยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศภายใต้ชื่อ
"มหาวิทยาลัยมหาสารคาม" เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2537
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ
ของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 111 ตอนที่ 54 ก
นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของ ประเทศไทย
- สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย "ตราโรจนากร" หมายถึง สัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง
- สีประจำมหาวิทยาลัย คือ "สีเหลือง-เทา" หมายถึง การมีปัญญาและความคิดที่ดีงาม อันนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
- ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือ ต้นราชพกฤษ์ หรือ ต้นคูณ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ลิฟต์
อาคาร RN เป็นที่นิยมใช้กันมาก ถึงขนาดลงทุนเสียเวลาคอยนาน
และต้องต่อแถวกันยาวววววว(ออกนอกประตูห้องโถง)เพื่อที่จะรอขึ้นลิฟต์ไปเรียน
ในช่วงเวลา 8.00 น.(จันทร์-ศุกร์)
- ตลาดน้อย คือแหล่งรวมนิสิตในตอนเย็น เพราะจะไปกินข้าวกันที่ตลาดน้อย (ไปตลาดน้อยไม่เคยไม่เจอคนรู้จัก)
- และ
ที่นี้ จะมีสารพัดส้มตำที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้ยเคยชื่อ
แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดจะเป็น ตำป่า มาอยู่ ม. สารคาม ถ้าไม่สักมากินสักจาน
เชยมากๆ
- ต่อเนื่องจากข้อข้างบน มีบางคนพยายามเปลี่ยนชื่อ ตำป่า เป็น ตำอุทยานแห่งชาติ เพราะเครื่องที่ใส่เยอะซะเหลือเกิน....
- ที่
ข้างๆตลาดน้อยมีลานวัฒนธรรมที่เรียกว่า "เล้าไก่หรือซุ้มไก่"
ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตแจ๊ส จากศิลปากร, CU Band, หมอลำก็จัดที่นี่ทั้งนั้น
- ขอ
เตือนเฟรชชี่ทุกคน กรุณาซื้อชุดนิสิตที่เป็น โอโม่ เท่านั้น
เพราะไม่เช่นนั้น เสื้อสีขาวของคุณจะกลายเป็นสีน้ำตาลในระยะเวลา ไม่ถึง 2
เดือน
- หอพักใน มมส. ตั้งชื่อตามอำเภอในจังหวัดมหาสารคาม
- หอกันทรวิชัย ซึ่งปัจจุบันเป็นหอหญิง เมื่อก่อนเป็นหอชาย ทุกวันนี้มีหลักฐานคือ โถส้วมผู้ชายในห้องน้ำรวม
- คอนเสิร์ตที่ได้รับความนิยมมากจากนิสิตมมส. จะเป็นวงหมอลำ
- ที่ มมส.มีวัดป่าที่ตั้งอยู่ภายในเขตมหาวิทยาลัย คือ "วัดป่ากู่แก้ว"
- สมัยก่อนคณะเภสัชฯ ใช้ตึกเดียวกับคณะวิทยาการสารสนเทศป็นที่เรียน
- คณะเภสัชฯ มมส.เป็นเภสัชฯ 6 ปี แห่งที่ 2 ต่อจาก มน.
- ถาปัดกะศิลปากรรมใช้ตึกเดียวกัน แต่ตอนนีถาปัดมีตึกใหม่แล้ว
- มมส. มี ม.เก่า กับ ม.ใหม่ (ห่างกันประมาณ 8กม.)
- เป็นที่เดียวที่มีคำว่า "มหา" สองคำในชื่อ (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)
- ขนาดมี ม.เก่า กับ ม.ใหม่ ก็ยังโดนถนนตัดฝ่านทั้งสองที่เลย (ถนนคนละเส้นกันนะ)
- ใช้คำว่า นิสิต เพราะเคยเป็น มศว(มหาสารคาม) มาก่อน
- ใครเดินเสริมไทยครั้งแรกแล้วไม่งง มันเป็นอัจฉริยะ แต่ก่อนที่นี้จะมีแค่ห้างเสริมไทยเท่านั้น พึ่งมีบิ๊กซีเมื่อปี52
- ตึกแต่ละตึกสร้างห่างกันมากๆ ประมาณตึกละ 500-800เมตร (พื้นที่มันเยอะนักหรือไงว่ะ)
- ทุกคนสงสัยว่าตึกทุกตึกที่ ม.ใหม่ ทำไมต้องสร้างเหมือนโดนัท (มีรูตรงกลางตึกทุกตึกเลย)
- วันที่รถติดที่สุดในรอบปี คือวันรับปริญญา และวันที่สมัครสอบเข้า ร.ร.สาธิต มมส.
- วันรับปริญญาเช่นกัน ที่มหาวิทยาลัยจะสวยที่สุดในรอบปี (สะอาดที่สุดด้วย ไม่รู้ว่าฝุ่นมันหายไปไหนหมด)
- หลังรับปริญญาไม่เกิน 1 สัปดาห์ ต้นไม้-ดอกไม้ที่ตกแต่งในวันรับปริญญา ถ้าไม่หายไปหมด ก็จะเ่ยวตายหมด
- ตึกคณะพยาบาลที่นี่ มีสนามเด็กเล่น (เพราะว่ามีศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็กอยู่)
- ลิฟท์
ที่ตึกคณะศึกษาศาสตร์ขึ้นได้ครั้งละ 4คน ถ้าตัวเล็กๆ ได้5คน
ถ้ามากกว่านั้นเสียงเตือนจะดัง แต่ในลิฟท์เขียนติดไว้ว่ารับน้ำหนักได้ 400
กก.
- จำนวนนิสิตปริญญาโทคณะศึกษาศาสตร์ มากกว่า
นิสิตป.โทคณะอื่นๆทั้งมหาวิทยาลัยรวมกัน (เพราะฉะนั้นวันรับปริญญา
คุณจะเห็นครุยสีส้มเยอะที่สุด)
- แต่ถ้านับรวมอายุของนิสิตป.โทศึกษาศาสตร์ จะมีอายุมากกว่านิสิตทั้งมหาวิยาลัยรวมกัน
- นิสิตคณะอื่นบ่นกันว่าศึกษาศาสตร์อาจารย์เยอะมาก เดินกันขวักไขว่ ไหว้กันให้เมื่อย ความจริงแล้วที่พวกเขาไหว้เกินครึ่งเป็นพี่ ป.โท
- พี่ป.โทคณะศึกษาศาสตร์จะเรียก ป.ตรีทุกคนว่าน้อง แม้ว่าอายุท่านจะคราวพ่อก็ตาม
- เรามีเอกภาษาเขมรเปิดที่เดียวในประเทศไทย(รึเปล่า)
- ที่
เด็ดกว่านั้น รุ่นแรกของเอกเขมร มีนิสิตคนเดียว (คนเดียวจริงๆ
เค้าจะได้เรียนตอนไหนก็ได้ที่อาจารย์ว่างจะสอน
แถมได้ตามอาจารย์ไปเขมรบ่อยมากๆ)
- เด็กภาคอื่นๆ หาได้ยากมากที่นี่ (ส่วนใหญ่มีแต่เด็กภาคอีสานแหละ)
- เรามีเวทีละครกลางแจ้ง ที่เรียกว่า ซุ้มไก่
- เมื่อ
ได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีคณะเริ่มแรก 4 คณะ คือ คณะศึกษาศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะเทคโนโลยี
- คณะที่ชุดครุยสวยที่สุด คือ คณะเทคโนโลยี เพราะแถบวิทยะฐานะเป็นสีชมพู สีประจำคณะ
- คณะ
สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์และสัตวศาสตร์ เดิมคือ
สาขาวิชาเทคโนโลยีเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์
ซึ่งสังกัด คณะเทคโนโลยี
- สำนักวิทยบริการ แอร์หนาวมากๆ เวลาไปอ่านหนังสือ หากไม่ใส่เสื้อกันหนาว ขอบอกว่าอยู่ยาก บรื๋อ..หนาว
- กระเทยที่นี่สวยไม่แพ้ผู้หญิง (ภูมิใจดีมั้ยเนี่ย)
- คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมมีโรงแรมเปงของตัวเองด้วย (ใหญ่ดีแหะ)
- จังหวัดมหาสารคามมีโรงเรียนเยอะมากๆใครเรียนคณะศึกษาศาสตร์ที่นี่โอกาสได้งานทำสูงนะ
- คณะศึกษาศาสตร์ให้นิสิตทำวิจัยตั้งแต่อยู่ ป.ตรี
- รู้รึเปล่าว่า รปภ.ที่นี่ฝึกโดยตำรวจ จากอำเภอกันทรวิชัย
- ที่นี่มีสถานีตำรวจสาขามหาวิทยาลัยมหาสารคามด้วยนะอยู่ในตัวมหาลัยเลย (หน้าคณะสาธารณสุข)
- จากข้อข้างบน อยู่ใกล้ๆสวนสัตว์ด้วย (อิอิ)
- ในตอนเย็นหลังเลิกเรียนที่สนามหญ้าอาคารพละจะมีการประกวดสุนัข(หมา)กันเกือบทุกวัน
เชื่อหรือไม่?
- รั้วมอหายไปไหน?(น้องใหม่หลายคนชอบถาม) ตอบ...ไม่ต้องสงสัยหรอก เพราะว่ามันไม่มี!
- ระบบ
การลงทะเบียนเรียน(อันที่โดนวิจารณ์ว่าเป็นปัญหา) คือ "จองวิชาก่อน
แล้วค่อยจ่ายตังค์" แล้ว "ใครจองแล้ว ก็ต้องจ่ายอย่างด่วน"
ม่ายยังงั้นไม่มีที่นั่ง ขอบอก!
- หอเชียงยืน ได้รับการขนานนามว่า
"หอพักสตรีเชียงยืน" ทั้งๆที่เป็นหอชาย (มีคนเล่าว่าตอนเข้ามาใหม่ๆ
ไปเคาะห้องเพื่อขนของเข้าหอ ปรากฎว่าคนที่เปิดประตูออกมา
เป็นกระเทยที่แปลงเพศแล้ว มันรีบลงไปเปลี่ยนห้องทันที)
- คำกลอนประจำหอ "เชียงยืนหมื่นกระเทย(หอชาย) สุภาพบุรุษกุดรัง(หอหญิง) หอสตรียางสีสุราช(หอชาย) หอพยัคภูมิกลุ่มเกย์(หอชาย)" ใครเป็นคนคิดวะเนี่ย - -"
- เคยมีอยู่วันนึง เผอิญไฟดับทุกหอ มีเสียงกรี๊ดดังลั่นจาก "หอสตรีเชียงยืน"
- วงแคน เป็นวงดนตรีพื้นบ้านที่เล่นได้มันสุดๆ เลยพระเจ้า (เห็นด้วย)
- ที่
มข. เห็นว่ามีหนังเกาหลี 3 เรื่อง 20 แต่ที่ มมส.หนังเกือบชนโรง 3 เรื่อง
20 (เฟิร์มมาก เพราะกลับบ้านไปดูเพื่อนสนิทมายังไม่ทันออกจากโรงดี กลับมา 3
เรื่อง 20 ซะแล้ว) หน้าหนาวมีทุกอาทิตย์เลย
- เพิ่งจะรู้ว่ามีเอก การจองตั๋วเครื่องบิน ในคณะการโรงแรมและการท่องเที่ยว ไม่รู้ที่อื่นมีรึเปล่า
- เคยถูกชาวต่างชาติเค้าใจผิดว่าคือ Michigan State University (เพราะตัวย่อภาษาอังกฤษใช้ MSU เหมือนกัน)
- ถนนที่บริเวณชุมชนท่าขอนยาง มีริมขอบทางเดินเท้าข้างถนน หากจะเอาพื้นที่ของสองข้างมารวมกัน มันก็ยังมีพื้นที่มากกว่าส่วนที่รถใช้วิ่งเสียอีก
- ท่าขอนยาง(ทางเข้า ม.)ฝุ่นเยอะมากๆ
- สืบเนื่องจากข้อข้างบน ถ้าขี่มอร์ไซต์ไม่ใส่หมวกกันน๊อคหัวคุณจะแดงโดยไม่ต้องย้อม (เต็มไปด้วยฝุ่น(เอ่อ เเต่ก็ยังไม่ใส่กันนะ)
- สืบเนื่องจากข้อข้างบนเหมือนกัน ถ้าขี่มอร์ไซต์ไม่ใส่เสื้อแจ๊กเก็ต เสื้อนิสิตคุณจะเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐ
- ครูในภาคอีสาน 90% จบจากที่นี่ (ตั้งแต่เป็น มศว)
- ทางเดินหลังตึก RN ไปจนถึงหอสมุด มีคนเดินวันละประมาณ 2-3คน (เพราะมันไม่มีร่มเลย ร้อนมาก คนเลยไม่เดิน)
- ทางเดินเดียวกับข้างบนกว้างมากขนาดรถยนต์ขับผ่านได้สบายๆ (มันจะทำไว้กว้างอะไรนักหนาก็ไม่รู้)
- เมื่อหลายปีก่อนเคยมีน้ำท่วมใหญ่ นิสิตต้องนั่งรถมาแล้วต่อเรือไปเรียน (ประมาณ 10 ปีที่แล้ว)
- นิสิตที่นี่ใส่เสื้อกันหนาวกันทั้งปี (ใส่กันแดดน่ะ แดดมันร้อนมาก ไม่ใช่ใส่เพราะอากาศหนาว)
- ลานจอดรถจักรยานยนต์หน้าตึก RN มีรถให้เห็นทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น ทุกสี (อยากเห็น อยากรู้จักรุ่นไหนไปดูเลย)
- จำนวนรถจักรยานยนต์ที่จอดหน้า RN มีจำนวนมากกว่ารถจากทุกร้านทั่วมหาสารคามรวมกัน
- สะพานตรงตึกวิทย์ มันชันมาก ถ้าขี่มอร์ไชต์มา3คนต้องลงก่อนคนนึง ความจริงลงสองคนเลยยิ่งดี แต่ถ้าเป็นจักรยานลงจูงโลด
- ใครอยากเล่นเสียว ก็ต้องไปนั่งรถมอร์ไซต์ขี่ลงสะพานตรงหน้าตึกวิทย์ ทุกคนจึงเรียกสะพานนี้ว่า "สะพานเล่นเสียว"
- สืบเนื่องจากข้อข้างบน สะพานนี้มีชื่อเป็นภาษาอีสานว่า "เนิน...หงาย"
- คลองที่ขนานหอพัก เค้าว่ากันว่าเป็นคลองที่ส่งน้ำไปทำน้ำประปาสำหรับหอใน (แต่มันสกปรกมาก ดำมากๆ แถมขยะยังเยอะ)
- เด็กที่มาเรียนมีที่นี่หากไม่ใช่คนอิสานแต่เมื่อจบไป จะสามารถพูดภาอีสานได้อย่างดี(เว่าอิสานได้บ่?)
- เป็นมหาวิทยาลัยที่ตึกเรียนมีหลังคาสีส้ม (ม.ใหม่ ทุกตึก)
- อายุเฉลี่ยของอาจารย์ในโรงเรียนสาธิตมมส(มัธยม)ไม่เกิน 26 ปี (อาจจะน้อยที่สุดในประเทศไทย)
- มหาวิทยาลัยนี้อาจารย์กับเจ้าหน้าที่ไม่มีลายนิ้วมือ เพราะต้องรูดนิ้วเข้ารูดออกวันละหลายรอบ
- เด็กจีนกับเวียดนามกำลังจะครองมหาวิทยาลัย(เยอะเหลือเกิน)
- อาคารพละศึกษาที่ใช้รับปริญญาไม่มีแอร์! มีแค่พัดลมไอน้ำนั่งกันเหงื่อตก...
- สนามหญ้ารอบๆอาคารพละศึกษาสามารถเนรมิตเป็นสนามกีฬาหลากหลายชนิด...แบดมินตัน...กอล์ฟ...แอร์โรบิค,,,คุ้มจริงๆ
- ที่คณะพยาบาลมีฟิตเน็ตกับซาวน่าด้วยแต่เสียเงินแต่อาคารพละศึกษาเล่นฟรีแต่ไม่มีซาวน่า
- สะพานใกล้ๆตลาดน้อยมักจะมีชมรมต่างๆมาขอบริจาคเงินเสมอ (ส่วนมากจะไม่ค่อยได้นะ)
- พื้นที่โล่งๆในม.ใหม่ส่วนมากในตอนเย็นใช่เป็นที่แตะฟุตบอล
- อาจารย์ภาคภาษาไทยปากจัดหลายคน เคยโดนไล่ให้ไปกินหญ้า เพราะไม่ตั้งใจฟังการสาธิตอ่านทำนองเสนาะ
- อาจารย์ มมส. ติด hi5 เล่นกันทั้งมอ ทั้งอาจารย์ผู้ใหญ่อาจารยเด็กๆ
- สืบเนื่องจากข้างบน ล่าสุดนิสิตไหว้ครูกันทาง hi5
- ยามใน ม.ใหม่(บางคน) พกมีดสะปาต้าด้วยนะ
- นัก
ฟุตบอลจะสูดดมเอาฝุ่นเข้าปอดแทนที่จะเป็นการออกกำลังกายในช่วงฤดูร้อน
เพราะสนามไม่มีหญ้าและมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเตะฝุ่นหรือเตะบอลกันแน่
(เห็นใจคนเตะบอล และผู้คนข้างเคียง)
- เด็กจีน หรือ เด็กเกาหลี "ผู้หญิง" ปั่นจักรยานไม่เคยอายใคร !!! รักนวล สงวนตัว ธรรมเนียมประเพณี
เหอะๆ
- ประเพณีกีฬาเฟรชชี่ปีหนึ่ง...พี่staffจะตีปี๊บปลุกเด็กหอในตอนประมาณตี5เสมอ...ซึ่งปลุกเป็นระยะเวลายาวนาน...ไม่ตื่นให้มันรู้ไปสิ!
- เด็กหอในชอบนั่งคุยโทรศัพท์ที่บันไดหนีไฟ...ชัวร์คอนเฟริ์ม
- วัฒนธรรม
โทรศัพท์ข้ามหอในระหว่างหญิงชายเป็นที่อินเทรนด์...จะมีสัญญานบ่งบอกให้รู้
ว่าเป็นห้องใดโดยการ กดสวิซไปหลังห้อง 3 ที
พรึ๊บพับ...พรึ๊บพับ...พรึ๊บพับ...เป็นที่รู้กัน
- เค้าว่ากันว่าสระน้ำหน้าตึกวิทย์เน่า เพราะเด็กศิลปกรรมเอาเท้าไปแช่
ความเชื่อ
ซอย
หนองไผ่เดิมทีเป็นทางเกวียนเล็กๆ
ใช้สำหรับลำเลียงศพเพื่อนำไปฝังที่กลางป่าช้า
ซึ่งปัจจุบันป่าช้าได้ถูกถางออกปรับเปลี่ยนเป็นแปลงปลูกหม่อนข้าง
คอนโดอาจารย์ ตามคติความเชื่อของคนภาคอีสาน เด็กที่ยังอายุไม่ถึง 12 ปี
จะถูกนำไปฝังซึ่งที่ฝังปัจจุบันก็คือป่าหม่อนข้างคอนโดอาจารย์
ส่วนศพที่ต้องการไป เผา ก็จะนำไปเผาที่เชิงตะกอนชายป่าช้า
ซึ่งเป็นที่ตั้งของ อบต.ขามเรียง ในปัจจุบัน ซอยหนองไผ่
อยู่บริเวณข้างร้านซ้อมมอเตอร์ไซค์โพธิ์ฯ
จากปากซอยจนไปถึงหอหลังแรกของซอยมีระยะทางประมาณเกือบ 200 เมตร
จากทางเข้าด้านซ้ายมือจะเป็นหนองน้ำ ส่วนด้านขวามือจะเป็นป่าละเมาะ
เรื่องที่จะเตือนต่อไปนี้ จะเป็นเรื่องของ 200 เมตร ที่จะชี้ชะตาคุณ ว่า
ถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามคำเตือนคุณจะพบกับอะไรบ้าง หมายเหตุ เกิดจากเรื่องจริง
ที่ผู้รวบรวมได้พบกับตัวเอง และบางอย่างมีผู้อื่นเล่าให้ฟัง
โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
หรือคุณอยากลองของก็เรื่องของ
คุณ........................................................
เขาว่ากันว่า......นาฬิกาตีบอกตี3 เรื่องที่ 1
เนื่อง
จากซอยหนองไผ่ทางเข้าเป็นทางสามแพร่ง
ทางเข้าซอยเป็นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่ถ้าคุณหันกลับไปข้างหลังก็จะกลายเป็นทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งทางศาสตร์
ฮวงจุ้ยแล้วเป็นทิศของการดึงดูดวิญญาณผู้ตายไปยังนรกภูมิ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนิสิตผู้หนึ่ง
ซึ่งมาสังสรรค์กับเพื่อนที่หอในซอยหนองไผ่
เมื่อเหล้าหมดนิสิตผู้นี้ได้อาสาออกไปซื้อเหล้า
ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตี3
เมื่อซื้อเหล้าเรียบร้อยแล้วนิสิตผู้นี้ได้ขี่มอเตอไซค์กลับเข้ามาในซอยหนอง
ไผ่ ปรากฏว่า
นาฬิกาในโรงเรียนท่าขอนยางซึ่งอยู่ติดกับหนองไผ่ตีดังบอกเวลาตี3 พอดี
จากนั้นมีลมปะทะจากด้านหลังพัดใส่นิสิตคนดังกล่าว
ทำให้นิสิตคนนี้ตกใจหันกลับไปมองด้านหลัง
ปรากฏว่าว่านิสิตผู้นี้พบกับโลกอีกมิติหนึ่ง นั้นก็คือนรกภูมิ
เขาเห็นวิญญาณพยายามดึงรั้งตัวเขาไว้
เหมือนกับวิญญาณพยายามหาที่ยึดเกาะไม่ให้ถูกนรกดูดกลืนเข้าไป
เบียร์ที่ซื้อไว้ตกแตกกระจายอยู่ข้างทาง จนกระทั้งนาฬิกาตีบอกเวลาเงียบลง
ทุกอย่างจึงกลับเป็นเหมือนเดิมเขากลัวมาก จึงรีบกลับไปหาเพื่อนที่หอ
แล้วเล่าให้เพื่อนฟัง พวกเพื่อนๆ ก็นึกว่าเขาเมาแล้วคิดไปเอง
แต่สิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันก็คือ
รอยกรีดเบาะรถที่คล้ายรอยเล็บที่มีคนมาขูดเต็มเบาะรถของเขา บทสรุป
รุ่งเช้าเขารีบนำรถไปเปลี่ยนเบาะที่ร้านโพธิฯ หน้าปากซอยหนองไผ่
เบาะรถที่โดนเล็บของวิญญาณกรีดเป็นรอย
สามารถสังเกตดูได้ภายในร้านจะมีเบาะรถอยู่ 4-5 เบาะ ที่ถูกปิดด้วยเทปกาว
ทำให้รู้ว่าไม่ใช่มีคนพึ่งเคยเจอ แต่มีคนเคยเจอเหตุการณีนี้มาแล้วหลายราย
ก่อนร้านโพธิ์จะปิดร้านตอนเย็น
จะสังเกตเห็นเจ้าของร้านเอาข้าวใส่จานแล้วนำมาไว้ที่เสาไฟฟ้าข้างร้าน
แล้วเจ้าของร้านจะเคาะจานใส่ข้าวดังๆ
มีคนบอกว่าเจ้าของร้านเปิดร้านบริเวณนี้เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องทำมาค้าขาย
ดี เนื่องจากเป็นบริเวณทางสามแพร่ง มีวิญญาณเร่ร่อนชุกชุม
วิญญาณเหล่านี้ต้องคอยเกาะรถที่สัญจรไปมาเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกดูดลงนรก
เป็นผลให้รถมอเตอร์ไซค์ที่มาในย่านนี้มีเหตุต้องเสียบ่อยๆจากการกระทำของ
วิญญาณ หรือไม่งั้นเจ้าของร้านอาจเลี้ยงผีไว้พังรถ
ห้ามเข้ามาในซอยหนองไผ่ในตอนใกล้จะตีสาม
ไม่งั้นคุณได้เสียเงินเปลี่ยนเบาะรถใหม่แน่ๆ
เขาว่ากันว่า......อย่าผิวปากตอนกลางคืน เรื่องที่ 2
เรื่อง
นี้เกิดขึ้น ตอน ตี 2
มีนิสิตชายคนหนึ่งกำลังขี่รถเข้ามาในซอยหนองไผ่เพื่อนำงานมาให้เพื่อน
ด้วยความเงียบและมืดของซอย ทำให้เขาผิวปากแก้กลัว แต่หารู้ไม่ว่า
การผิวปากเป็นการส่งสัญญาณให้ผีและวิญญาณปรากฏตัวให้เห็นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเขาขี่รถเกือบจะถึงหอหลังแรกของซอยอยู่แล้ว กลับต้องเจอกับใคร
หรือสิ่งใดไม่รู้ซ้อนท้ายแล้วปิดตาเขาไว้ ทำให้รถเสียหลักล้ม
เขาล้มลงไปบนพื้น โชคดีที่เหมือนมีแสงไฟรถตามมาข้างหลัง
แต่แสงนั้นกลับเป็นดวงไฟขนาดเท่าลูกมะพร้าวบินผ่านเขาไป
เขากลัวสุดขีดรีบวิ่งโดยที่ไม่สนใจรถที่ล้มอยู่ รีบวิ่งไปหาแสงสว่างที่ 3
แยก หอหลังแรก
แต่หารู้ไม่ว่าแยกอีกแยกภายในซอยหนองไผ่นี้ก็เป็นทางสามแพร่งเหมือนกัน
ซึ่งเป็นทางขึ้นของพวกพรายน้ำหรือพวกทางผ่านของภูมิเจ้าที่
เขาพบกับผีพรายขึ้นจากหนองไผ่
เป็นคนตัวสีเขียวผมยาวโบกมือแล้วชี้ทางให้เขาวิ่งไปทางร้านอาหารภายในซอย
แต่ดูเหมือนว่าดวงไฟที่เขาเจอเมื่อกี้ก็ตามเขามาด้วย
เขารีบวิ่งจนไปเจอฝูงหมาบริเวณร้านอาหาร หมาเห่าใส่เขา
ทำให้เขาได้สติแล้วสวดมนต์ อิติปิโส
จากนั้นดวงไฟได้ลอยหายไปในป่าไผ่ข้างหนอง บทสรุป
ด้วยเหตุนี้ซอยหนองไผ่จึงได้ติดไฟตลอดทั้งซอย
เพราะมีคนร้องเรียนว่าเจอเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็น
รอยไหม้ทั่วบริเวณป่าไผ่ แต่เป็นรอยไหม้เป็นหย่อมๆ
แล้วใครจะเข้าไปจุดเล่นในป่าไผ่ทึบที่มีหนามหล่ะ แน่นอน
เวลาผิวปากต้องเลือกสถานที่ด้วย อันนี้ก็แล้วแต่คุณ
เขาว่ากันว่า......โคมลอยทวนลม เรื่องที่ 3
เมื่อ
ใกล้ออกพรรษา หนุ่มสาวชาวมอ นิยมซื้อโคมสำเร็จรูปมาลอยเล่น
ถ้าเรามองดูโคมส่องประกายแสงบนท้องฟ้าก็ดูสวยดี
แต่ถ้าหากลอยอยู่เหนือบริเวณซอยหนองไผ่ล่ะ มันจะเกิดอะไรขึ้น
เรื่องต่อไปนี้มีพยานรู้เห็น ถึง 5 คน คือกลุ่มนักศึกษาที่กลับมาจากดูหนัง
เวลาประมาณ เกือบตี 2 ทั้งกลุ่มมี ชาย 3 หญิง 2 ขี่รถมา 3 คัน
พวกเขาเห็นโคม ลอยอยู่บนฟ้าส่งแสงกระพริบในตอนที่ลมแรง
เมื่อโคมลอยผ่านหัวของกลุ่มพวกเขากลับมีสิ่งหนึ่งตกลงมา
พวกเขาตกใจนึกว่าเป็นสะเก็ดของลุกไฟที่ใช้ใส่โคม
จึงหยุดรถแล้วดูว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ปรากฏว่า
สิ่งที่นึกว่าเป็นสะเก็ดไฟกลับมีกลิ่นคล้ายมูลสุนัข
เมื่อพวกเขามองกลับไปยังโคม โคมที่นึกไว้ในตอนแรก
แต่เมื่อมองดีๆแล้วกลับเป็นหัวคน ที่ท่อนล่างมีไส้
เห็นได้อย่างชัดเจนบินผ่านไป
เขาว่ากันว่า...... เชือกที่ไม่อยากเจอ เรื่องที่ 4
เอา
ล่ะครับเข้ามาในเรื่องนี้
เป็นเรื่องที่ผมมีส่วนรู้เห็นแต่ก็ไม่ได้เจอกับตัว
คงเคยได้ยินว่าหอแรกที่อยู่ในซอยหนองไผ่มีคนผูกคอตายนะครับ
ผมเองก็อยู่หอนี้เช่นเดียวกัน แต่เรื่องนี้คนที่เจอเป็นเพื่อนผมเอง
หลังจากคนที่ตาย ตายได้เกือบเดือน สิ่งที่เป็นเรื่องน่าสงสัยคือ
เชือกที่ใช้ผูกคอนั้นหายไปไหน..........จนกระทั่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
เพื่อนผมกลับมาจากห้องซ้อมดนตรี ตอนตี 3
เขาสังเกตเห็นเชือกเส้นหนึ่งผูกโยงกับเสาไฟฟ้า เชือกมัดเป็นบ่วงไว้
เขาก็ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเวลาเดียวกัน
เขาก็สังเกตว่าไม่มีเชือกเหมือนเมื่อวาน แล้วผ่านไป11วัน
เชือกเส้นนั้นก็ได้ปรากฏให้เขาเห็นอีก เขาสังเกตุว่า ก่อนวันพระ 1
วันเชือกเส้นนั้นจะออกมาให้เห็น
เพื่อนผมก็ไม่กล้าออกมาจากหอในวันก่อนที่จะถึงวันพระอีกเลย
บทสรุป
เชือกเส้นนี้หลังจากเกิดเหตุ คนที่มาเคลียพื้นที่
ก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าว่าเชือกนั้นหายไปไหนผมเองถึงแม้ว่าจะรู้วันที่
เชือกจะปรากฏให้เห็นผมเองก็ไม่ไม่กล้ามองดูเช่นเดียวกัน
จะมีเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งข้างหอผมที่ไม่ได้ติดหลอดไฟ เสาต้นนั้นแหละครับ
ผมก็ไม่รู้ว่าเชือกเส้นนั้นมันตามหาเจ้าของหรือเปล่า
หรือว่ามันจะหาคนรายต่อ
ของกิน
- หาของกินจากตลาดน้อย และท่าขอนยาง
- เกือบ
ทุกคนที่อยู่หอ ม.ใหม่ จะรู้จัก ตาหมี่กะทิ และจะต้องเคยกิน
เพราะแกจะขี่จักรยานไปขายทุกหอ แล้วก็จะร้องว่า "หมี่กะทิคร้าบ หมี่กะทิ
หมี่กะทิคร้าบ" (แต่ว่าตอนนี้แกโดนรถชนตายแล้วนะ ตอนนี้ใครได้ยินแปลว่า...)
- ส้มตำ
ลาบ ก้อย อาหารอีสาน อร่อยและถูกที่สุด
อยู่ที่ร้านป้าตรงหมู่บ้านขามเรียงขนานนามกันว่า "ร้านไฮโซ"
มีบางคนเรียกว่า ลาบ 120 ด้วย
ที่มา http://www.dek-d.com/board/view/1231839/